ที่มา : ดร.ศานติ โบดินันท์ และ ดร.สมจิตร ยิ้มสุด, ตามรอยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่เมืองนครศรีธรรมราช, ครั้งที่ ๑ (นครศรีธรรมราช : เสือผินการพิมพ์, ๒๕๖๒), หน้า ๑๐๖-๑๒๒.

รายละเอียด ๑

ผมกลับจากการสำรวจพระบรมธาตุในตัวเมืองนครศรีธรรมราชด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ในใจก็นึกถึงคำแนะนำจากเพื่อนในเฟสบุ๊คที่ผมคุยเมื่อหลายวันก่อน ซึ่งเขาศึกษาเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช เพื่อนในเฟสบุ๊คคนนี้ผมไม่เคยพบมาก่อน เพียงแต่ผมเข้าไปสอบถามในอินบ็อกว่า ถ้าจะค้นคว้าประวัติพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในตัวเมืองนครศรีธรรมราชจะต้องไปคุยกับใคร เพื่อนในเฟสท่านนั้นก็แนะนำว่า “ให้ไปพบพระครูเหม ฯ วัดพระนคร” ผมได้แต่เก็บคำแนะนำของเพื่อนไว้ในตารางการออกตามรอยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่เมืองนครศรีธรรมราช เพื่อรอคิวการออกเดินทางสำรวจเพราะมีสถานที่สองสามแห่งในเมืองนครศรีธรรมราชที่ผมต้องไปสำรวจหลังจากเดินทางไปสำรวจตามลำดับที่จัดไว้แล้ว

รถประจำทางนำผมกลับมาถึงหมู่บ้านที่ผมมาอาศัยอยู่ด้วยระหว่างการเดินทางออกตามรอยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในครั้งนี้ คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงท้องฟ้าแจ่มใส ไม่มีเมฆเหมือนทุก ๆ วัน หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว ผมออกมานั่งบนเก้าอี้ผ้าใบกลางลานหน้าบ้านเพื่อชมพระจันทร์เต็มดวงที่เริ่มโผล่พ้นยอดไม้ทางทิศตะวันออก ผมเพิ่งสังเกตว่า แสงจันทร์ยามขึ้นใหม่ ๆ พระจันทร์จะมีสีส้ม ๆ ปนอยู่ ไม่สว่างนวลเหมือนตอนที่ขึ้นมาอยู่กลางท้องฟ้า

ระหว่างที่นั่งชมแสงจันทร์ไป ในใจก็พลางคิดทบทวนถึงแผนการเดินทางที่จะออกไปตามรอยพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในสถานที่ต่อไป พลันถ้อยคำคำแนะนำจากเพื่อนก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง “พระครูเหม ฯ วัดพระนคร” ใช่แล้ว พรุ่งนี้ผมจะไปกราบนมัสการพระครูเหม ฯ วัดพระนคร เพื่อสอบถามข้อมูลประวัติพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ตามคำแนะนำจากเพื่อนเฟสบุ๊ค

เมื่อตกลงใจได้แล้วว่าพรุ่งนี้จะเดินทางไปที่ไหน ในใจผมก็รู้สึกผ่อนคลายเบาสบาย และมีความสุขมาก ผมเอนหลังนอนบนเก้าอี้สายตามองไปยังท้องฟ้าและดวงจันทร์ แต่ใจไม่ได้ลอยไปบนท้องฟ้าและพระจันทร์ ใจผมรู้สึกเด่นชัดอยู่ที่อาการสั่นไหวของร่างกายระหว่างที่ลมหายใจเข้า และปล่อยลมหายใจออกช้า ๆ ในหัวไม่มีความคิดใด ๆ จิตใจสงบนิ่ง เนิ่นช้า จนกระทั่งร่างกายผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ผมปล่อยให้ร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาวะเช่นนั้น จนกระทั่งพระจันทร์ลอยเด่นขึ้นมาสูงมากแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่พัดมากระทบอยู่หลายครั้ง จึงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าบ้านเพื่อเตรียมตัวเข้านอน

รายละเอียด ๒

เช้าวันรุ่งขึ้นผมออกจากบ้านแต่เช้า เพื่อที่จะไปให้ถึงวัดพระนครก่อนที่ท่านพระครูจะฉันเพล เมื่อรถประจำทางมาจอดที่หน้าวัดพระบรมธาตุ ผมจึงลุกขึ้นเพื่อลงจากรถและเดินเท้าไปยังวัดพระนครที่เพื่อนบอกว่า อยู่หลังวัดพระมหาธาตุติดกันเลยแต่อยู่คนละฝั่งถนนกันเท่านั้นเอง

ผมเดินเลาะทางเท้าริมถนนราชดำเนินขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปเข้ายังประตูวัดพระบรมธาตุที่ผมใช้เป็นทางเดินไปยังพระบรมธาตุเมื่อวาน เพราะผมตั้งใจว่าจะไปเข้าห้องน้ำในวัดพระบรมธาตุก่อน หลังจากนั้นค่อยเดินอกประตูหลังบริเวณพระบรมธาตุที่ผมเห็นเมื่อวานนี้ แล้วออกไปสู่ถนนหลังพระบรมธาตุ เพื่อเลี้ยวขวาแล้วเดินไปอีกราว ๕๐ เมตรก็จะเจอวัดพระนคร ตามคำแนะนำของเพื่อนที่ผมคุยกันในเฟสบุ๊คเมื่อวันก่อน

ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในบริเวณวัดพระนคร ความรู้สึกที่ได้แตกต่างไปจากวัดพระมหาธาตุ หรือวัดอื่น ๆ ที่อยู่ตรงข้ามฝั่งถนนราชดำเนิน หรือวัดเพชรจริกที่ผมเดินเข้าไปชมเมื่อวันก่อนเป็นอย่างมาก เพราะความรู้สึกที่ได้ตอนเดินเข้ามาในบริเวณวัดพระนครมันไม่เหมือนการเดินเข้าไปในวัด มันเหมือนเดินเดินเข้าไปในโรงเรียนมากกว่า เพราะอาคารภายในบริเวณวัดส่วนใหญ่เป็นอาคารเรียน ผมแทบจะไม่เห็นศาลาการเปรียญหรือโบสถ์เหมือนวัดอื่น ๆ เลย เพราะไม่ได้เป็นจุดเด่นของวัดนี้

รายละเอียด ๓

ภายในบริเวณวัด มีสามเณรเต็มไปหมด เณรองค์เล็ก ๆ บางองค์ก็นั่งดูดไอติม บางองค์ก็กำลังเดินมาซื้อไอติม ผมเห็นแล้วก็มีแต่รอยยิ้มเหมือนกับรอยยิ้มเวลาเห็นเด็กทั่วไปที่กำลังมีความสุขกับการได้กินของอร่อย หรือมีความสุขกับการได้วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน แต่ภาพที่ผมเห็นเบื้องหน้าคือเห็นเณรองค์เล็ก ๆ กำลังมีความสุข แม้ว่าจะไม่ได้วิ่งเล่นอย่างสนุกสนานเหมือนเด็กทั่ว ๆ ไป

ผมเดินเข้าไปยกมือไหว้สามเณรแล้วบอกเณรว่า ผมมาพบท่านพระครูเหม สามเณรร้องอ๋อ แล้วพูดออกมาว่า พระอาจารย์อยู่ที่กุฏิครับ พูดพลางก็ชี้มือไปยังทิศที่กุฏิตั้งอยู่ ซึ่งอยู่ทางเหนือขึ้นไปภายในบริเวณวัด ห่างจากที่ผมยืนอยู่ราว ๒๐ เมตร ผมยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวขอบคุณสามเณร แล้วก็มุ่งหน้าไปยังกุฏิพระอาจารย์ที่สามเณรชี้ทางให้

ผมเดินไปยังกุฏิปูนชั้นเดียว หลังคาทรงไทยประยุกต์หลังหนึ่งภายในบริเวณวัด จะว่าเป็นความโชคดีของผมหรือพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชอำนวยพระก็ไม่ทราบ ผมได้พบกับพระหนุ่มรูปหนึ่งนั่งอยู่ ผมเข้าไปกราบท่านแล้วแจ้งความประสงค์ว่า ผมกำลังค้นคว้าประวัติพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่เมืองนครศรีธรรมราช มีผู้แนะนำให้ผมมาพบพระครูเหม วัดพระนคร ครับ

ท่านได้ฟังดังนั้นก็บอกว่าเจริญพรโยม อาตมาคือพระครูเหม ท่านพูดพร้อมกับรอยยิ้ม แววตาเปี่ยวด้วยความเมตตา และมีความกระตือรือร้นที่จะเล่าเรื่องด้วยแววตาที่เป็นประกาย

รายละเอียด ๔

ท่านพระครูนำผมไปที่ห้องสมุด เพราะเป็นสถานที่ที่สงบเหมาะการสนทนาเรื่องพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชมากกว่าการนั่งคุยหน้ากุฏิของท่าน เมื่อท่านเดินนำผมขึ้นไปยังชั้นสองของอาคารเรียนที่ทำเป็นห้องสมุดแล้ว หลังจากเล่ารายละเอียดถึงงานเขียนเชิงสารคดีเกี่ยวกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชในเมืองนครศรีธรรมราชให้ท่านฟังแล้ว ท่านก็บอกว่าดีใจที่มีคนนำไปเขียนต่อ ให้คนรุ่นหลังได้ทราบ แล้วท่านก็เริ่มเรื่องราวของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่ท่านได้ค้นคว้าทางโบราณคดีมาให้ฟัง

ท่านพระครูเริ่มด้วยการเกริ่นถึงวรรณกรรมตำนานพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเท่าที่มีอยู่ โดยท่านบอกว่าตำนานพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเท่าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน มีสามตำนาน คือ พระนิพพานโสตรทั้งสี่สำนวน ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช และตำนานพระบรมธาตุเมืองนครศรีธรรมราช

ท่านอธิบายต่อว่าในบรรดาตำนานพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชดังกล่าว ตำนานที่มีรายละเอียดมากที่สุดและมีสำนานภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุดได้แก่ พระนิพพานโสตรสำนวนที่ ๔ ซึ่งปริวรรตใหม่โดยอาจารย์ปรีชา นุ่นสุข นักโบราณคดีชาวนครศรีธรรมราช ผู้ล่วงลับไปแล้ว

แล้วท่านก็ยกเนื้อความในนิพพานโสตรสำนานที่สี่มาเล่าให้ฟัง โดยท่านเล่าโดยย่อยมาตั้งแต่หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน มาจนถึงสงครามแย่งพระทันตธาตุพระพุทธเจ้าในประเทศอินเดีย จนกระทั่งพระนางเหมชาลา และทันทกุมาร นำพระธาตุหนีลงเรือจนกระทั่งมาประดิษฐานที่หาดทรายแก้ว

แล้วท่านก็เล่ามาถึงช่วงที่ผมต้องหูผึ่ง เพราะเริ่มปรากฏพระนามของพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเป็นครั้งแรกในตำนาน โดยท่านพระครูเหมใช้คำว่าพุทธศักราช เมื่อพูดถึงปี ๑๕๓๕ ท่านกล่าวว่าเป็นปีที่พระราชาองค์หนึ่งจากพุกามประเทศ หรือมอญในอดีต ส่งทหารมาสำรวจพื้นที่ในแถบสุวรรณภูมิ เมื่อสำรวจแล้วท่านจึงได้ยกไพร่พลเคลื่อนย้ายไปตั้งเมืองใหม่ในปีต่อมา

ท่านพระครูเล่าว่าเมืองแรกที่พระราชาจากพุกามประเทศมาตั้งเมืองใหม่ อยู่แถวบริเวณจังหวัดกระบี่ในปัจจุบัน แต่เนื่องจากเกิดโรคระบาด ท่านจึงเคลื่อนย้ายไพร่พลหนีโรคระบาดเข้าในบริเวณภูเขาในป่าลึกไปอีก บริเวณนั้นได้แก่ถ้ำในอำเภอลานสกาของจังหวัดนครศรีธรรมราชในปัจจุบัน

ท่านพระครูหยุดหายใจครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยถึงชื่อที่ผมต้องถามท่านว่าพื้นที่นั้นปัจจุบันอยู่ตรงไหน ท่านยิ้มแล้วก็ขยายความต่อไปว่าหลังจากไข้ห่าจางหายไปแล้ว ท่านก็ยกไพร่พลออกจากป่าเขา ลงมาอยู่บนหาดทรายแก้วใกล้ทะเล ในตำนานเรียกว่าเมืองกระหม่อมโคก

แล้วท่านก็ตอบคำถามที่ผมอยากรู้ เมืองกระหม่อมโคกปัจจุบันก็คือบริเวณด้านหลังสถานีรถไฟนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดศรีทวี หรือวัดท่ามอญในปัจจุบัน

รายละเอียด ๕

หลังจากท่านเฉลยมาถึงตรงนี้แล้ว ผมก็แทบอยากจะขออนุญาตท่านเพื่อเดินทางต่อไปยังวัดศรีทวีในทันที แต่ด้วยเรื่องเล่าที่ท่านเล่าให้ฟังต่อมาก็เป็นที่น่าสนใจ และมีความเกี่ยวข้องกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชอย่างมาก ทั้งหลักฐานที่เป็นสมุดบุดดำที่ท่านนำออกมาให้ดู และหลักฐานที่ท่านไปค้นพบ ซึ่งเป็นเอกสารที่สูญหายไปจากสำนักหอสมุดแห่งชาตินานมาแล้ว และระบุว่า มีสถานที่ที่เอกสารนั้นระบุว่า พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้ทรงสร้างขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์การสร้างเมืองใหม่ในบริเวณหาดทรายแก้วในสมัยนั้น

ผมนั่งคุยกับท่านพระครูจนท่านหมดเรื่องเล่าแล้ว ผมก็ถือโอกาสกราบลาท่านพระครูเหม เพื่อเดินทางต่อไปยังวัดศรีทวี ซึ่งพอดีกับที่ท่านได้เวลาฉันเพล ท่านพระครูได้ชวนผมให้รอกินข้าวเที่ยงที่วัด แต่ผมก็ปฏิเสธท่านไปเพราะปกติกลางวันผมไม่ค่อยกินข้าว เต็มที่ก็มีผลไม้แก้หิวนิดหน่อยก็พอแล้ว

ผมเดินออกมาทางเก่า มาออกยังประตูวัดพระบรมธาตุด้านหน้าถนนราชดำเนิน เพื่อรอรถสองแถวสายหัวถนน-สนามกีฬา เพื่อไปลงบริเวณหน้าวัดศรีทวี ที่อยู่เลยจากแยกท่าวังไปเล็กน้อย ก่อนที่จะถึงสะพานข้ามคลองท่าซัก

รายละเอียด ๖

รถสองแถวที่วิ่งระหว่างหัวถนน-สนามกีฬา ใช้เส้นทางบนถนนราชดำเนินตลอดเส้นทาง แม้ว่าจะเป็นถนนที่ผ่าใจกลางเมืองนครศรีธรรมราชแต่เวลาในช่วงใกล้เที่ยงนี้รถก็ไม่หนาแน่นมากนัก รถจึงวิ่งได้เรื่อย ๆ จากวัดพระมหาธาตุมาวัดศรีทวี รถวิ่งประมาณ ๓๐ นาที เพราะต้องจอดรับส่งผู้โดยสารเป็นระยะ ๆ ทุกที่ที่มีคนโบกรถ แต่ส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะไปยืนรอที่ป้ายหยุดรถประจำทางเป็นส่วนใหญ่

ผมลงจากรถสองแถว หลังจากควักเหรียญสิบบาท ไปจ่ายเป็นค่ารถโดยสารแล้ว ผมก็เดินตามทางเท้าขึ้นไปทางทิศเหนือราว ๒๐ เมตร เพื่อที่จะเลี้ยวซ้ายเดินไปยังประตูทางเข้าวัดศรีทวีที่อยู่ถัดเจ้าไปจากถนนราชดำเนินอีกราว ๑๐๐ เมตร แล้วผมก็เดินมาถึงวัดศรีทวีทางซุ้มประตูด้านหน้าวัด

รายละเอียด ๗

เมื่อผมเดินเข้าซุ้มประตูวัดไป ผมก็รู้สึกได้ถึงความเป็นชุมชนเก่าแก่เพราะรับรู้ได้ถึงความรู้สึกร่มรื่น และความเป็นชุมชนในอดีต อาจจะเป็นเพราะต้นไม้พื้นเมืองที่ขึ้นอยู่ในบริเวณวัด หรืออาจจะมีการปลูกขึ้นใหม่ ผมก็ไม่ทราบได้ นอกจากนี้ โบสถ์วิหารและศาลาต่าง ๆ ก็มีความแตกต่างจากวัดอื่น ๆ ในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ด้วยความไม่ประสีประสาเรื่องศิลปะของผมก็ได้แต่เดาว่า นี่คงเป็นศิลปะของมอญกระมัง เพราะหน้าจั่ว ใบเสมาช่อฟ้าใบระกา ของอารามต่าง ๆ มันดูแปลก ๆ และมีความงามที่เป็นลักษณะเฉพาะแตกต่างจากศิลปะไทยที่ผมคุ้นเคย

รายละเอียด ๘

ผมไปถึงวัดศรีทวีในช่วงเวลาที่พระกำลังฉันเพลพอดี เพราะผมไม่เห็นพระเดินอยู่นอกศาลาเลย จึงเดินไปถามชายสูงวัยคนหนึ่งที่นั่งอยู่บริเวณศาลาอ่านหนังสือในบริเวณวัดว่า ผมจะพบท่านเจ้าอาวาสได้ที่ไหน ชายสูงวัยท่าทางใจดีบอกว่านี่คือกุฏิเจ้าอาวาส ท่านเจ้าคุณ ฯ กำลังฉันเพลอยู่ เดี๋ยวถ้าท่านฉันเพลเสร็จแล้วลุงจะไปกราบเรียนท่านว่ามีนักเขียนสารคดีมาขอพบ

ผมยกมือไหว้ขอบคุณชายสูงวัยใจดีท่านนั้น แล้วผมก็ขออนุญาตเดินไปชมรอบ ๆ พระอุโบสถก่อน แล้วจึงค่อยเดินมานั่งรอท่านที่ศาลาอ่านหนังสือตรงนี้หลังจากเดินชมรอบ ๆ พระอุโบสถแล้ว

ผมเดินย้อนออกมาจากหน้ากุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาส เดินมายังลานปูนบริเวณรูปปั้นพระเกจิอาจารย์องค์หนึ่งที่ยืนหันหน้าไปทางประตูทางเข้าทางทิศใต้ ขนาดของรูปปั้นจากที่ผมกะเอาด้วยสายตา น่าจะประมาณเท่ากับขนาดขององค์จริง ผมยืนดูด้วยความสนใจแล้วก็เดินผ่านไป

ผมมายืนอยู่ข้างพระอุโบสถทางทิศใต้ ซึ่งผมก็ไม่มีความรู้มากพอที่จะบอกได้ว่า โบสถ์หลังนี้ เป็นศิลปะไทยแบบไหน แต่สิ่งที่ผมรู้สึกได้คือ ความอ่อนช้อยของหลังคาโบสถ์ในส่วนยอด แต่ก็ไม่ได้อ่อนช้อยแบบโบสถ์วัดร่องขุ่น ที่เชียงรายที่ผมไปดูมา และผมก็รู้สึกได้ถึงความเก่าแก่ของศิลปะแบบนี้ ซึ่งผมก็เดาเอาตามความรู้สึกว่านี่กระมังที่เป็นศิลปะแบบมอญ เพราะชื่อวัดก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นวัดท่ามอญ

รายละเอียด ๙

เมื่อชื่นชมความงามของพระอุโบสถจนอิ่มใจแล้ว ผมก็เดินต่อไปทางด้านทิศตะวันออกของโบสถ์ บริเวณด้านนี้มีต้นโพธิ์ขนาดกลาง ๆ ให้ร่มเงาร่มรื่นดี จึงกลายเป็นที่จอดรถสองแถวที่จอดรอรับส่งนักเรียน และรถของญาติโยมที่มาทำบุญ และมาติดต่อธุระที่วัด

ผมเดินเวียนซ้ายเพื่อขึ้นไปยังทางทิศเหนือของโบสถ์ก็พบว่า ทางด้านตะวันออกก็มีประตูทางออกของวัดอีกประตูหนึ่งด้วย ด้านทิศเหนือของโบสถ์เป็นอาคารเรียนของนักเรียน น่าจะเป็นโรงเรียนประถม เพราะผมเห็นเด็กตัวเล็ก ๆ ทั้งนั้นเลย แม้ว่าจะสงสัยในใจ แต่ผมก็ไม่ได้แวะเข้าไปสอบถามอะไรเพราะผมเจอสิ่งหนึ่งที่ผมสนใจ ที่อยากจะเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ เมื่อผมเดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่า เป็นเจดีย์โบราณ แม่ว่าดูจากสายตา อายุจะไม่ถึงพันปีก็ตาม แต่ก็เป็นเจดีย์ที่เก่ากว่าเจดีย์ทั้งหลายในบริเวณนั้น

รายละเอียด ๑๐

ผมก้มไปดูจารึกที่ฐานของเจดีย์ ก็ทรายว่าเจดีย์นี้เป็นเจดีย์เก่าจริง ๆ เพราะแม้แต่การบูรณะซ่อมแซม ก็ทำเมื่อ ๖๐ ปีมาแล้ว แสดงว่าเจดีย์นี้น่าจะมีอายุหลักร้อยขึ้นไป

หลังจากพินิจพิจารณาเจดีย์โบราณจนครบถ้วนแล้ว ผมก็เดินลงไปทางทิศตะวันตกเพื่อนเดินผ่านอีกด้านของพระอุโบสถ เพื่อจะวนไปยังบริเวณหน้ากุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาส เพราะเวลาตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว หลวงพ่อน่าจะฉันเพลเสร็จแล้ว

ผมเดินมานั่งในศาลาอ่านหนังสือได้สักพัก คุณลุงผู้ชายคนหนึ่งที่ผมเจอตอนที่มายืนอยู่หน้ากุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาสครั้งแรก ก็เดินมาบอกผมว่าท่านเจ้าคุณพร้อมให้พบแล้ว แล้วคุณลุงก็เดินนำหน้าผมเข้าไปในกุฏิหลวงพ่อเจ้าอาวาส ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก็เดินตามคุณลุงท่านนั้นเข้าไปในกุฏิ

ทันทีที่ผมเดินพ้นประตูเข้ามาภายในกุฏิ ผมก็รู้สึกเย็นสบายและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก คงน่าจะมาจากความสะอาดสะอ้านของกุฏิ และความสว่างไสวภายในกุฏิ ตลอดจนใบหน้าที่เอิบอิ่มสดใสของหลวงพ่อที่ดูใจดีและมีเมตตา จึงทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้เดินเข้ามาในบ้านที่อบอุ่นและปลอดภัย สำหรับผู้รอนแรมมาไกลอย่างผม

รายละเอียด ๑๑

ผมนั่งคุกเข่ากราบหลวงพ่อสามครั้ง เสร็จแล้วก็ลงนั่งพับเพียบแล้วประนมมือขึ้น พร้อมกับกล่าวแนะนำตัวเอง พร้อมทั้งชี้แจงวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้ให้ท่านทราบ หลวงพ่อยิ้ม แล้วก็ยื่นนามบัตรหลวงพ่อให้ ในนามบัตรระบุว่า “พระพุทธิสารเมธี (สุวิทย์ อชิโต ป.) เจ้าอาวาสวัดศรีทวี” พออ่านนามบัตรแล้ว ผมจึงเข้าใจว่า เหตุใดคุณลุงเรียกหลวงพ่อว่าท่านเจ้าคุณ

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อก็เพิ่งรู้จากโยมนี่แหละว่าตรงนี้คือเมืองกระหม่อมโคกเมื่อครั้งโบราณ หลวงพ่อพูดพร้อมกับเดินไปหยิบสมุดบันทึกมาเขียนไว้กันลืม ว่าตรงวัดศรีทวีนี้แต่ก่อนคือเมืองกระหม่อมโคก

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อไม่นานมานี้ นักวิชาการในเมืองนครนำโดยอาจารย์บัณฑิตได้จัดสัมมนาที่วัดศรีทวีแห่งนี้ หลวงพ่อก็เข้าไปร่วมฟังกับเขาด้วย พอจับประเด็นได้ว่าตรงนี้แต่ก่อนมันเป็นโคก ก็คือที่ดอน หรือที่สูง ที่น้ำท่วมไม่ถึง ชาวบ้านแถวนี้จึงใช้เป็นที่ตากข้าว ค่าท่ามอน สมัยก่อนไม่ใช่ท่ามอญเหมือนที่เขียนชื่อวัด มอน คือกระด้งมอน ที่ชาวบ้านใช้ตากข้าว

หลวงพ่อเล่าต่อไปว่า ส่วนอีกมติหนึ่งเสนอโดยอาจารย์บัณฑิตบอกว่าบริเวณนี้เป็นสถานชุมชนค้าขายของชาวมอญ พอมีคนมาอยู่อาศัยมากชาวมอญจึงสร้างที่พักสงฆ์ขึ้น สำหรับเป็นที่ทำบุญ ส่วนอีกมติหนึ่งก็บอกว่า ท่าหมายถึงท่าเรือที่ชาวเมืองในเวลานั้น ใช้เป็นที่จอดเรือสำหรับขนส่งสินค้า และการสัญจรไปมาของชาวเมือง มีท่าวัง ท่าซัก และท่ามอญ คงจะเป็นท่าของชาวมอญที่มาขึ้นที่โคกตรงนี้

รายละเอียด ๑๒

หลวงพ่อเล่าว่า บริเวณตรงนี้ในปัจจุบัน ในหน้าน้ำหลาก น้ำจะไม่ท่วม เต็มที่ก็แค่น้ำเอ่อเข้ามาท่วมแค่หลังเท้า แต่ถ้าเป็นข้างนอกวัด น้ำจะท่วมถึงเอว หรือบางที่อาจสูงถึงมิดหัวเลย

ผมนั่งสนทนากับหลวงพ่ออยู่นานพอสมควร ผมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหลวงพ่อที่ผมได้ไปคุยกับท่านพระครูเหม ฯ มาว่า ตำนานที่นำผมมาถึงวัดศรีทวีนี้ มาจากพระนิพพานโสตร สำนวนที่ ๔ ที่ท่านพระครูวัดพระนครเล่าให้ฟัง พร้อมทั้งให้สำเนาไฟล์ PDF ผมมาด้วย แต่เนื่องจากสำนวนในพระนิพพานโสตร เป็นสำนวนโบราณ ผมจึงต้องอาศัยให้ท่านพระครูเหม ฯ เล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง จึงทำให้ผมพอจับใจความได้ พระนิพพานโสตรนี้ผมเคยอ่านมาบ้างแล้วแต่อ่านไม่เข้าใจ เช่นคำว่า เมืองกระหม่อมโคกนี้ผมก็ทราบจากท่านพระครูว่าเมืองกระหม่อมโคกในปัจจุบันนี้ คือ บริเวณที่เป็นวัดศรีทวีนี่เอง

รายละเอียด ๑๓

ผมสังเกตดูสีหน้าหลวงพ่อเจ้าคุณ ระหว่างการสนทนากับผม ท่านก็ดูเบิกบานใจอยู่ไม่น้อยที่ได้ทราบว่า บริเวณวัดศรีทวีมีความเก่าแก่นับพันปี ในเรื่องนี้ ผมก็เชื่อว่าท่านเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว เพราะวัดศรีทวีเป็นแหล่งรวมของผู้รู้จากเมืองนครศรีธรรมราช เพราะที่วัดมีสถานีวิทยุซึ่งต้องใช้ผู้รู้สลับกันมาจัดรายการให้ความรู้เป็นประจำ และเรื่องเมืองกระหม่อมโคก ผมเชื่อว่า ท่านคงเคยได้ยินมาบ้าง แต่ที่ท่านดูเบิกบานขึ้น น่าจะได้ทราบว่าเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมามีหลักฐานที่ชื่อว่าพระนิพพานโสตร ซึ่งเป็นคัมภีร์เก่าแก่ทางพระพุทธศาสนามารับรองก็อาจเป็นไปได้

ผมนั่งสนทนากับหลวงพ่อจนกระทั่งเวลาจวนจะบ่ายโมง หลวงพ่อก็เปรยขึ้นว่าวันนี้เวลาบ่ายสามโมง ที่วัดพระมหาธาตุจะมีพิธียกแผ่นทองแผ่นสุดท้ายขึ้นไปประดิษฐานบนยอดพระบรมธาตุเจดีย์ หลวงพ่อได้รับอาราธนาให้ไปร่วมพิธีนี้ด้วย ผมยกมือไหว้อนุโมทนาสาธุ แล้วก็กราบลาหลวงพ่อพร้อมทั้งขอฝากตัวเป็นศิษย์วัดศรีทวีอีกคนว่า โอกาสหน้าผมขออนุญาตมากราบหลวงพ่ออีก หากมีความคืบหน้าใหม่ ๆ เกี่ยวกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชที่เมืองกระหม่อมโคก หรือวัดศรีทวีในปัจจุบัน หลวงพ่อได้ทราบดั้งนั้นก็ยิ้มและบอกว่ายินดีที่จะได้ฟังเรื่องราว และหากทางวัดมีกิจกรรมเสวนา คอยฟังข่าวจากสถานีวิทยุของวัดก็ให้ผมเข้าไปร่วมกิจกรรมได้เลย

เมื่อกราบลาหลวงพ่อเรียบร้อย ผมก็เดินออกจากกุฏิหลวงพ่อด้วยใจที่เบิกบานรู้สึกอิ่มใจทุกครั้งที่ได้คุยกับพระที่บวชนาน ๆ นี่กระมังที่ท่านบอกว่าเวลาเราอยู่ใกล้คนที่มีความสุข เราก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย

ผมเดินออกมายืนที่ศาลาอ่านหนังสืออีกครั้งหนึ่ง เจอคุณลุงคนเดิมกำลังอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ ผมเข้าไปยกมือไหว้ขอบคุณคุณลุงที่อำนวยความสะดวกให้ทำให้ผมได้ทำงานจนสำเร็จลุล่วงในวันนี้ ผมนั่งคุยกับคุณลุงสักพักจึงขอตัวเดินไปชมสถานที่ในวัดต่อ เพราะยังมีสถานที่ร่มรื่นอีกด้านหนึ่งที่ผมยังไม่ได้เดินไปดู แม้ว่าใจผมยังอยากจะนั่งคุยกับคุณลุงผู้ใจดีนาน ๆ แต่ดูท่าทางคุณลุงกำลังให้ความสนใจกับหนังสือที่คุณลุงกำลังเปิดอ่าน ผมจึงไม่กล้าที่จะรบกวนท่านมากไปกว่านี้

ผมเดินชมภายในบริเวณวัดศรีทวีด้านทิศตะวันตกจนทั่ว ด้วยใจที่มีความสุขและผ่อนคลาย เพราะด้านนี้ของวัด เป็นลานปฏิบัติธรรมและลานฟังธรรมใต้ต้นไม้ ที่ส่วนใหญ่เป็นลานทราย ส่วนบริเวณนั่งปฏิบัติธรรมหลวงพ่อได้ทำเป็นลานไม้กระดาน แทนที่จะเป็นลานปูนเหมือนลานฟังธรรมบางแห่ง

ต้นไม้ในบริเวณวัดออกดอกส่งกลิ่นหอมมาก ผมแหงนหน้าขึ้นไปดูจึงรู้ว่าคือดอกปีบนั่นเอง แต่ดอกปีบที่ผมเคยเห็นส่วนใหญ่ต้นจะไม่สูงขนาดนี้ แสดงว่าดอกปีบที่วัดศรีทวีน่าจะมีอายุหลายสิบปีแล้ว

รายละเอียด ๑๔

ผมเดินมานั่งที่ม้าหินใต้ต้นไม้อยู่สักพักหนึ่ง นึกถึงสภาพชุมชนเมืองกระหม่อมโคกเมื่อพันปีที่แล้ว ชุมชนบนหาดทรายที่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุมร่มรื่น บรรยากาศภายในบริเวณวัดศรีทวีด้านทิศตะวันตกนี้ให้บรรยากาศชุมชนโบราณได้ดีจริง ๆ รวมทั้งศาลาทรงมอญที่มีในบริเวณวัด ยิ่งทำให้ได้บรรยากาศชุมชนมอญโบราณเข้าไปอีก